ความสุขของชีวิตคนเรามันอยู่ตรงไหน.? ความสุขในชีวิตของคนเราคืออะไร.?
และคำตอบส่วนใหญ่ที่มักพบและบอกต่อกัน
_มีร่างกายที่แข็งแรง มีสติปัญญาหากิน มีข้าวกิน มีเงินใช้ มีบ้านให้อยู่ มีคนให้รักให้ห่วง สำหรับดิฉันแค่นี้สุขแล้ว
_ถ้าเราเข้าใจโลกอย่างที่มันเป็น ไม่ใช่อย่างที่เราอยากให้มันเป็น เราก็จะพอใจได้กับทุกสิ่ง แม้กระทั่งความผิดหวังของเราเอง ยอมรับ และพอใจ _ ความสุขของชีวิตคนเรามันอยู่ตรงที่ เข้าใจชีวิตที่แท้จริงก่อน(ก็ต้องผ่านประสบการณ์ชีวิตพอสมควรกว่าจะเข้าใจได้ต้องใช้เวลา) เมื่อคุณเข้าใจคุณก็จะรู้ว่าความสุขในชีวิตคุณอยู่ตรงไหนและคุณต้องการอะไรที่สุขที่สุดของคุณพอแล้ว เพราะความเพียงพอในสุขเราไม่เท่ากันแต่จุดหมายอยู่ที่สุขเหมือนกัน และสุดท้ายไม่มีอะไรสุขเท่าการแสวงหาสุขทาง"ธรรม"
_ ความสุขของเรา คือ การมีใครสักคนที่เป็นคนรู้ใจ คนรู้ใจหาได้ที่ไหน? คำตอบง่ายมาก คนนี้อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ก็คือตัวเราเองนั่นเเหละ สำรวจใจของเราเองทุกวันพิจารณาความต้องการของตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่เราต้องการที่สุด ความสุขของแต่ละคนแตกต่างกันจะนำมาเปรียบเทียบกันไม่ได้ บางคนได้กินอาหารที่ชอบอร่อยถูกปาก บางคนได้อ่านหนังสือดีสักเล่ม บางคนขอให้มีงานทำไปวันๆ หรือบางคนขอให้ได้ดื่มเหล้าทุกวัน บางคนขอให้ได้ยินเสียงคนที่รักผ่านโทรศัพท์วันละสามเวลาก่อนหรือหลังอาหาร แค่นี้ก็มีความสุขได้แล้ว บอกไม่ได้ว่าที่แท้จริงความสุขในชีวิตของแต่ละคนคืออะไร แต่บอกได้ว่าคนเรามีความสุขได้ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นความสุขเล็กๆ หรือ ความสุขที่ยิ่งใหญ่ อยู่ที่มุมมองของตัวเราเอง อยู่ที่คนรู้ใจ จะเรียนรู้ใจตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน หรือ ถ้าไม่รู้ใจตัวเองก็ลองค้นหาใครบางคนที่เราจะพูดคุยด้วยได้อย่างมีความสุขดูสิ เหมือนในโฆษณาไง
Looking for someone to have fun with? : )
_ สิ่งที่นำมาเพื่อความสุขคือ
-ความร่ำรวยเงินทอง
-ความสำเร็จในหน้าที่การงาน
-ความสุขใจจากการให้และการได้รับความรักจากคนที่เรารัก
-เป็นที่ยอมรับของสังคมมีเกียรติยศและชื่อเสียง
แต่สิ่งต่างๆเหล่านี้ต้องเป็นความสุขที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสงบไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น อิจฉาริษยาและว้าวุ่นหัวใจ
ความสุขที่สุดคือวิมุตติสุขคือการพบสุขที่เกิดเพราะความหลุดพ้น จากกิเลส(นิพพาน)
_ ความสุขคือความพึงพอใจในสิ่งที่คนเราคาดหวังและได้สมหวังแต่การได้มา บางอย่างอาจไม่ทำให้เกิดความสุขระยะยาวอาจมีความทุกข์ด้วยซ้ำไป คนไม่ร่ำรวยเงินทองก็สุขได้คนที่ไม่สำเร็จในหน้าที่การงาน(หัวโขน)ก็สุขได้ หากได้ทำงานที่ตนรักสิ่งที่คิดคือความสุขจากการให้ครับให้โดยไม่หวังผลจากผู้อื่น แต่ได้ความสุขใจที่ได้ให้แต่พระท่านว่าการให้ก็อย่าให้เราเดือดร้อนและต้องให้สิ่งที่ผู้รับต้องการและเต็มใจรับนั่นแหละครับส่วนการมีรักจะสุขเมื่อได้รัก และทุกข์เมื่อถูกตัดรักครับเอ.ผมตอบคุณณัฐฐาหรือยังนี่
แต่สิ่งที่ทำให้เกิดความสุขได้ มันก็ง่ายแค่นิดเดียว
ความมสุขสร้างง่ายนิดเดียว
เรื่องของคำชม ผมไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องเล็ก การชมใครก็แล้วแต่ ถ้ามันออกมาจากใจจริงของเรา เราไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าเราสามารถใช้คำชมเปลี่ยนคนอีกคนได้มากน้อยขนาดไหน ผมเคยได้ยินเรื่องราวของคู่สามีภรรยาที่มีปากเสียงกันทุกวันจนชาชิน จนกระทั่งฝ่ายสามีเริ่มฉุกใจคิดได้ว่าควรยุติพฤติกรรมแย่ๆ อย่างการทะเลาะกันซะที เพราะนอกจากมันจะไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรแล้ว ยังทำให้ความทุกข์ในการใช้ชีวิตเพิ่มขึ้นอีกด้วย แต่เราจะเริ่มต้นชมยังไงหละ ในเมื่อภรรยาของเขาไม่มีดีจะให้ชมเลยจริงๆ ทำอะไรก็ขัดใจไปเสียหมด ถ้าไม่รู้จ้ะริ่มชมจากสิ่งไหน เราก็เริ่มชมจากเรื่องที่เป็นความดีปรกติพื้นฐานของเขาก่อนสิ เช่น ชมว่าเขาพูดจาไพเราะ (ตอนที่เขาพูดไพเราะ) ชมว่าเขาหัวเราะน่ารัก ชมว่าเซ็กซี่ อะไรก็แล้วแต่ที่อยากจะชม จนกระทั่งฝ่ายภรรยาเริ่มมีความรู้สึกดีๆ และการทะเลาะกันก็น้อยกันลงไปที่สุด
ในขณะเดียวกัน การด่าก็ถือเป็นปรกติวิสัยของมนุษย์ แต่เราเริ่มต้นสิ่งดีๆ ด้วยคำด่าไม่ได้ เช่นเดียวกัน เราก็ไม่สามารถใช้คำด่าเปลี่ยนแปลงจากร้ายกลายเป็นดีได้ เพราะฉะนั้นคำด่าไม่ว่าจะจริงหรือจะเล่นล้วนมีความคมที่พร้อมจะทิ่มแทงผู้ฟังเหมือนกันหมด ผมเองก็ติดนิสัยพูดแล้วค่อยคิดเหมือนกัน เลยเข้าใจดีว่าความไม่เจตนาบางครั้งในคำพูดมันเป็นสิ่งที่ทำให้เรากับคนอื่นบาดเจ็บได้เหมือนกัน
เพราะฉะนั้น เมื่อเรารู้แล้วว่าไอ้สิ่งสองสิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง ก็จัดสรรกันเอาเองว่าจะเอาอะไรเป็นคุณสมบัติเด่น
ผมลองสังเกตชีวิตของผมเอง เวลาที่เราพูดชมใครอย่างจริงจัง ชนิดที่ไม่ได้ฟังดูแล้วคล้ายประชดล้อเลียน คู่สนทนามักจะมีความรู้สึกดีๆ เกิดขึ้นภายในใจ แน่นอนมันสะท้อนมาถึงใบหน้าของเขาด้วย เมื่อเราเห็นคู่สนทนาของเรามีความสุข ผู้พูดอย่างเราเองก็มักมีความสุขไปด้วย ในขณะเดียวกัน บางครั้งถ้าเราเผลอพูดอะไรออกไปที่ทำให้คนรอบข้างรู้สึกแย่ ไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม ผู้พูดอย่างเราก็พร้อมที่จะเศร้าสลดหดซึมไปด้วย
เพราะฉะนั้น คำชม ถือว่าเป็นคุณสมบัติที่น่ารักอย่างแน่นอน
แต่ผมเองก็เคยเจออีก คือคนที่ชมคนอื่นมากๆ ชมคนอื่นต่อหน้าคนอื่น และชมทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยซักแค่ไหน มักจะถูกกล่าวหาว่าเป็นคนไม่จริงใจ ไม่น่าคบหา ทั้งๆ ที่การชมใครก็เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล ไม่รู้คิดได้ยังไง ยิ่งถ้าไปชมคนที่คนๆนั้นไม่ชอบขี้หน้าด้วยแล้ว จะกลายเป็นศัตรูไปเลยก็มี งงมาก
และผมเองก็เคยเห็นอีกเหมือนกัน วัยรุ่นที่ทดลองทำขนมและเอามาให้คนในครอบครัวและเพื่อนกิน เขาได้รับคำชมในฐานะที่ทำขนมอร่อยและมีความพยายามคิดค้นสูตรต่างๆเป็นอย่างมาก ปัจจุบันเขาอายุแค่ยี่สิบต้นๆ แต่ก็ได้เป็นเจ้าของกิจการขายขนมฝีมือตัวเองย่อมๆ แล้ว ทั้งหมดนี้เพราะอิทธิฤทธิ์คำชม (บวกกับความพยายาม) ถ้าเขาไม่มีคนชม เขาจะก้าวมาถึงจุดนั้นไหม อันนี้ลองคิดดู
ตรงนี้การันตีได้อย่างหนึ่ง ว่าคำชมมีประโยชน์อย่างมหันต์ เหมือนเป็นยาดี เป็นรางวัลของคนที่เพียรพยายาม
มนุษย์จึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ชอบคำชมและมักหลีกเลี่ยงคำตำหนิ
แต่ในประวัติของผู้ยิ่งใหญ่มากมายที่ชีวิตไม่ได้รับคำชม ซ้ำยังถูกกล่าวหาจากสังคมรอบข้างว่าบ้าด้วยแล้ว เช่น สองพี่น้องตระกูลไรท์ที่พยายามจะบินให้ได้เหมือนนก สตีฟ จ๊อบ ที่ถูกคนที่ตัวเองจ้างงานมากับมือรวมหัวกันไล่เขาออก และคนอื่นๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วนที่ผมนึกชื่อไม่ออก
ผมเองก็ไม่ได้สนใจอะไรจนกระทั่งผมเองก็ได้มาเข้าใจอะไรบางอย่าง ถ้าคำพูดของใครบางคนสามารถเปลี่ยนชีวิตใครบางคนดีขึ้นหรือเลวลงได้จริงคำถามคือชีวิตนี้เราได้ยินเสียงคำพูดจากใครมากที่สุด ดังที่สุด มีอิทธิพลกับเรามากที่สุด คำตอบคือคำพูดจากเราเอง คำพูดจากสมองและหัวใจของเรา
ถ้าชีวิตเราต้องการให้ใครคนอื่นชมเราในแบบที่เราเป็น ทำไมเราไม่เริ่มจากการชมตัวเองก่อน ถ้าลองเข้าไปสำรวจความคิดที่เรามีต่อตัวตัวเองดีๆ เราจะพบว่าคำเหล่านี้มักจะปรากฏขึ้นในใจเราเป็นประจำ “เราทำไม่ได้หรอก เราดีไม่ได้หรอก ทำไมเขาไม่รักเรา เราไม่ดีทุกอย่าง ใครๆ ก็ไม่รักเรา ไม่มีชิ้นดีเลยชีวิตเรา เรามันไม่เก่ง เรามันกระจอก บล่าๆ” สารพัดคำที่เราจะเอามากดตัวเองให้ต่ำลงจมดิน ถ้ายังเป็นอย่างนี้ ต่อให้ใครมาชมเรา เราก็ชื่นใจชั่วประเดี๋ยวเดียว สักพักเสียงที่ดังที่สุดในชีวิตอย่างความคิดเราก็จะทำให้เรากลับไปอยู่มุมอับมืดๆ เหมือนเดิม เราก็ต้องวิ่งหากำลังใจจากคนอื่นเรื่อยๆ มีคนชมก็ดีใจ คนไม่ชมก็เศร้าเสียใจ แล้วจะเอาพลังที่ไหนไปใช้ชีวิตหละครับ
ถ้าคำชมมีผลต่อชีวิตเราจริง มันเป็นเรื่องน่าอายเหรอครับที่จะชมตัวเอง ชมว่าตัวเองสวยหล่อ เก่ง มีความสามารถ มีความตั้งใจ มีความเก่งความชำนาญ คำตอบคือชมได้ และยิ่งชมบ่อยๆ ยิ่งดีด้วย แต่ต้องชมให้ใจคุณเองได้ยิน ไม่ได้ชมให้คนอื่นได้ยิน เพราะถ้าเอาแต่ความดีตัวเองมาพูดให้คนอื่นฟัง คนอื่นอาจจะหมั่นไส้เอาได้ครับ (คุณลองไปฟังคนที่ชมแต่ตัวเองดูสิ จะทนฟังได้กี่นาทีโดยที่ไม่อยากโมโหให้อารมณ์เสีย)
ชีวิตเป็นของเรา ถ้าเราไม่ชอบในสิ่งที่เรามีอยู่เป็นทุน แล้วใครมันจะมาชอบเราครับ เพราะฉะนั้น ชมเลย เราเป็นคนเก่ง เราเป็นคนดี เราเป็นคนมีความสามารถ ต่อให้คนที่สอบได้ที่โหล่ของชั้น เขาก็มีพรสวรรค์ของเขาซ่อนอยู่ มีส่วนดีงามที่สุดในชีวิตซ่อนอยู่เช่นเดียวกัน เราจึงไม่ได้เป็นคนผิดเลย ที่เราจะชอบจะรักตัวเราในแบบที่เราเป็นและพอใจในสิ่งที่เรามี และถ้าคุณสังเกตคนที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ด้วยแล้ว เขามีความมั่นใจในตัวเองและก็ชมตัวเองเพื่อเป็นกำลังให้กับตัวเองเหมือนกันครับ
เชื่อไหมครับ ถ้าคุณชมตัวเองทุกวัน เชื่อมั่นในตัวเองทุกวัน คุณจะควบคุมชีวิตตัวเองได้ คุณจะทุกข์กับคนอื่นน้อยลง ชีวิตคุณจะหวั่นไหวน้อยลง เพราะคุณได้ค้นพบความน่ารักที่ยิ่งใหญ่ที่มันอยู่กับคุณตั้งแต่เกิด เป็นความน่ารักในรูปแบบเฉพาะของคุณเพียงคนเดียว ไม่มีใครเหมือน
ผมขอย้ำอีกครั้งหนึ่ง คนเราจะมีความสุขได้ จะต้องเริ่มต้นจากฐานที่เรียกว่าความคิดให้ดีที่สุด ต่อให้คุณมีความสำเร็จในชีวิตมากแค่ไหน ถ้าความคิดของคุณมันไม่เคยที่จะยอมรับตัวเองเลย คุณก็ต้องวิ่งหนีตัวเองไปเรื่อยๆ ความสุขที่ว่าอยู่ใกล้มันก็อยู่ที่เดิมแต่คุณหนะไม่รู้วิ่งไปไหนแล้ว ความสุขมันหาคุณไม่เจอ
วันนี้ ลองเชื่อในความเป็นตัวของตัวเองดูซักครั้งครับ หลับตาลงเบาๆ สัมผัสหัวใจของตัวคุณเอง นึกถึงความดีและความสามารถของคุณ ค่อยๆ ขอบคุณตัวเอง และชมตัวเองอย่างจริงจังว่าคุณเก่งมาก คุณดีมาก และคุณจะทำให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปอีก ชมอย่างนี้ทุกครั้งที่เรานึกถึง ชมทุกครั้งที่เรานึกออก ชมตลอดเวลาที่เราหายใจ แล้วเรามาดูกันเลยครับ ว่าชีวิตของคุณจะเปลี่ยนแปลงไปท่าไหน อย่างไร
คนที่สามารถชมตัวเองได้จากใจจริงเท่านั้น ที่จะสามารถเป็นคนที่ประสบความสำเร็จและมีความสุขได้ไม่แพ้คนอื่น บนโลกใบนี้ คนที่มีความสุขจากการที่ได้อยู่กับตัวเองมากที่สุด คือคนที่น่าอิจฉาที่สุดครับ เอาหละถ้าคุณชมตัวเองได้อย่างดีแล้ว ลองดูสิว่าหัวใจคุณเบาสบายขึ้นไหม มีความสุขมากขึ้นไหม ถ้าคุณมีความสุขแล้ว ไปเลยครับ กลับเข้าไปสู่ชีวิตของคุณ ไปจัดการปัญหาและอุปสรรคที่มันเคยยากเย็นแสนเข็ญของคุณ กลับไปสู้กับปัญหาและเอาความสำเร็จมาเป็นรางวัลให้กับชีวิตกัน สู้สู้
ในขณะเดียวกัน การด่าก็ถือเป็นปรกติวิสัยของมนุษย์ แต่เราเริ่มต้นสิ่งดีๆ ด้วยคำด่าไม่ได้ เช่นเดียวกัน เราก็ไม่สามารถใช้คำด่าเปลี่ยนแปลงจากร้ายกลายเป็นดีได้ เพราะฉะนั้นคำด่าไม่ว่าจะจริงหรือจะเล่นล้วนมีความคมที่พร้อมจะทิ่มแทงผู้ฟังเหมือนกันหมด ผมเองก็ติดนิสัยพูดแล้วค่อยคิดเหมือนกัน เลยเข้าใจดีว่าความไม่เจตนาบางครั้งในคำพูดมันเป็นสิ่งที่ทำให้เรากับคนอื่นบาดเจ็บได้เหมือนกัน
เพราะฉะนั้น เมื่อเรารู้แล้วว่าไอ้สิ่งสองสิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง ก็จัดสรรกันเอาเองว่าจะเอาอะไรเป็นคุณสมบัติเด่น
ผมลองสังเกตชีวิตของผมเอง เวลาที่เราพูดชมใครอย่างจริงจัง ชนิดที่ไม่ได้ฟังดูแล้วคล้ายประชดล้อเลียน คู่สนทนามักจะมีความรู้สึกดีๆ เกิดขึ้นภายในใจ แน่นอนมันสะท้อนมาถึงใบหน้าของเขาด้วย เมื่อเราเห็นคู่สนทนาของเรามีความสุข ผู้พูดอย่างเราเองก็มักมีความสุขไปด้วย ในขณะเดียวกัน บางครั้งถ้าเราเผลอพูดอะไรออกไปที่ทำให้คนรอบข้างรู้สึกแย่ ไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม ผู้พูดอย่างเราก็พร้อมที่จะเศร้าสลดหดซึมไปด้วย
เพราะฉะนั้น คำชม ถือว่าเป็นคุณสมบัติที่น่ารักอย่างแน่นอน
แต่ผมเองก็เคยเจออีก คือคนที่ชมคนอื่นมากๆ ชมคนอื่นต่อหน้าคนอื่น และชมทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยซักแค่ไหน มักจะถูกกล่าวหาว่าเป็นคนไม่จริงใจ ไม่น่าคบหา ทั้งๆ ที่การชมใครก็เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล ไม่รู้คิดได้ยังไง ยิ่งถ้าไปชมคนที่คนๆนั้นไม่ชอบขี้หน้าด้วยแล้ว จะกลายเป็นศัตรูไปเลยก็มี งงมาก
และผมเองก็เคยเห็นอีกเหมือนกัน วัยรุ่นที่ทดลองทำขนมและเอามาให้คนในครอบครัวและเพื่อนกิน เขาได้รับคำชมในฐานะที่ทำขนมอร่อยและมีความพยายามคิดค้นสูตรต่างๆเป็นอย่างมาก ปัจจุบันเขาอายุแค่ยี่สิบต้นๆ แต่ก็ได้เป็นเจ้าของกิจการขายขนมฝีมือตัวเองย่อมๆ แล้ว ทั้งหมดนี้เพราะอิทธิฤทธิ์คำชม (บวกกับความพยายาม) ถ้าเขาไม่มีคนชม เขาจะก้าวมาถึงจุดนั้นไหม อันนี้ลองคิดดู
ตรงนี้การันตีได้อย่างหนึ่ง ว่าคำชมมีประโยชน์อย่างมหันต์ เหมือนเป็นยาดี เป็นรางวัลของคนที่เพียรพยายาม
มนุษย์จึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ชอบคำชมและมักหลีกเลี่ยงคำตำหนิ
แต่ในประวัติของผู้ยิ่งใหญ่มากมายที่ชีวิตไม่ได้รับคำชม ซ้ำยังถูกกล่าวหาจากสังคมรอบข้างว่าบ้าด้วยแล้ว เช่น สองพี่น้องตระกูลไรท์ที่พยายามจะบินให้ได้เหมือนนก สตีฟ จ๊อบ ที่ถูกคนที่ตัวเองจ้างงานมากับมือรวมหัวกันไล่เขาออก และคนอื่นๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วนที่ผมนึกชื่อไม่ออก
ผมเองก็ไม่ได้สนใจอะไรจนกระทั่งผมเองก็ได้มาเข้าใจอะไรบางอย่าง ถ้าคำพูดของใครบางคนสามารถเปลี่ยนชีวิตใครบางคนดีขึ้นหรือเลวลงได้จริงคำถามคือชีวิตนี้เราได้ยินเสียงคำพูดจากใครมากที่สุด ดังที่สุด มีอิทธิพลกับเรามากที่สุด คำตอบคือคำพูดจากเราเอง คำพูดจากสมองและหัวใจของเรา
ถ้าชีวิตเราต้องการให้ใครคนอื่นชมเราในแบบที่เราเป็น ทำไมเราไม่เริ่มจากการชมตัวเองก่อน ถ้าลองเข้าไปสำรวจความคิดที่เรามีต่อตัวตัวเองดีๆ เราจะพบว่าคำเหล่านี้มักจะปรากฏขึ้นในใจเราเป็นประจำ “เราทำไม่ได้หรอก เราดีไม่ได้หรอก ทำไมเขาไม่รักเรา เราไม่ดีทุกอย่าง ใครๆ ก็ไม่รักเรา ไม่มีชิ้นดีเลยชีวิตเรา เรามันไม่เก่ง เรามันกระจอก บล่าๆ” สารพัดคำที่เราจะเอามากดตัวเองให้ต่ำลงจมดิน ถ้ายังเป็นอย่างนี้ ต่อให้ใครมาชมเรา เราก็ชื่นใจชั่วประเดี๋ยวเดียว สักพักเสียงที่ดังที่สุดในชีวิตอย่างความคิดเราก็จะทำให้เรากลับไปอยู่มุมอับมืดๆ เหมือนเดิม เราก็ต้องวิ่งหากำลังใจจากคนอื่นเรื่อยๆ มีคนชมก็ดีใจ คนไม่ชมก็เศร้าเสียใจ แล้วจะเอาพลังที่ไหนไปใช้ชีวิตหละครับ
ถ้าคำชมมีผลต่อชีวิตเราจริง มันเป็นเรื่องน่าอายเหรอครับที่จะชมตัวเอง ชมว่าตัวเองสวยหล่อ เก่ง มีความสามารถ มีความตั้งใจ มีความเก่งความชำนาญ คำตอบคือชมได้ และยิ่งชมบ่อยๆ ยิ่งดีด้วย แต่ต้องชมให้ใจคุณเองได้ยิน ไม่ได้ชมให้คนอื่นได้ยิน เพราะถ้าเอาแต่ความดีตัวเองมาพูดให้คนอื่นฟัง คนอื่นอาจจะหมั่นไส้เอาได้ครับ (คุณลองไปฟังคนที่ชมแต่ตัวเองดูสิ จะทนฟังได้กี่นาทีโดยที่ไม่อยากโมโหให้อารมณ์เสีย)
ชีวิตเป็นของเรา ถ้าเราไม่ชอบในสิ่งที่เรามีอยู่เป็นทุน แล้วใครมันจะมาชอบเราครับ เพราะฉะนั้น ชมเลย เราเป็นคนเก่ง เราเป็นคนดี เราเป็นคนมีความสามารถ ต่อให้คนที่สอบได้ที่โหล่ของชั้น เขาก็มีพรสวรรค์ของเขาซ่อนอยู่ มีส่วนดีงามที่สุดในชีวิตซ่อนอยู่เช่นเดียวกัน เราจึงไม่ได้เป็นคนผิดเลย ที่เราจะชอบจะรักตัวเราในแบบที่เราเป็นและพอใจในสิ่งที่เรามี และถ้าคุณสังเกตคนที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ด้วยแล้ว เขามีความมั่นใจในตัวเองและก็ชมตัวเองเพื่อเป็นกำลังให้กับตัวเองเหมือนกันครับ
เชื่อไหมครับ ถ้าคุณชมตัวเองทุกวัน เชื่อมั่นในตัวเองทุกวัน คุณจะควบคุมชีวิตตัวเองได้ คุณจะทุกข์กับคนอื่นน้อยลง ชีวิตคุณจะหวั่นไหวน้อยลง เพราะคุณได้ค้นพบความน่ารักที่ยิ่งใหญ่ที่มันอยู่กับคุณตั้งแต่เกิด เป็นความน่ารักในรูปแบบเฉพาะของคุณเพียงคนเดียว ไม่มีใครเหมือน
ผมขอย้ำอีกครั้งหนึ่ง คนเราจะมีความสุขได้ จะต้องเริ่มต้นจากฐานที่เรียกว่าความคิดให้ดีที่สุด ต่อให้คุณมีความสำเร็จในชีวิตมากแค่ไหน ถ้าความคิดของคุณมันไม่เคยที่จะยอมรับตัวเองเลย คุณก็ต้องวิ่งหนีตัวเองไปเรื่อยๆ ความสุขที่ว่าอยู่ใกล้มันก็อยู่ที่เดิมแต่คุณหนะไม่รู้วิ่งไปไหนแล้ว ความสุขมันหาคุณไม่เจอ
วันนี้ ลองเชื่อในความเป็นตัวของตัวเองดูซักครั้งครับ หลับตาลงเบาๆ สัมผัสหัวใจของตัวคุณเอง นึกถึงความดีและความสามารถของคุณ ค่อยๆ ขอบคุณตัวเอง และชมตัวเองอย่างจริงจังว่าคุณเก่งมาก คุณดีมาก และคุณจะทำให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปอีก ชมอย่างนี้ทุกครั้งที่เรานึกถึง ชมทุกครั้งที่เรานึกออก ชมตลอดเวลาที่เราหายใจ แล้วเรามาดูกันเลยครับ ว่าชีวิตของคุณจะเปลี่ยนแปลงไปท่าไหน อย่างไร
คนที่สามารถชมตัวเองได้จากใจจริงเท่านั้น ที่จะสามารถเป็นคนที่ประสบความสำเร็จและมีความสุขได้ไม่แพ้คนอื่น บนโลกใบนี้ คนที่มีความสุขจากการที่ได้อยู่กับตัวเองมากที่สุด คือคนที่น่าอิจฉาที่สุดครับ เอาหละถ้าคุณชมตัวเองได้อย่างดีแล้ว ลองดูสิว่าหัวใจคุณเบาสบายขึ้นไหม มีความสุขมากขึ้นไหม ถ้าคุณมีความสุขแล้ว ไปเลยครับ กลับเข้าไปสู่ชีวิตของคุณ ไปจัดการปัญหาและอุปสรรคที่มันเคยยากเย็นแสนเข็ญของคุณ กลับไปสู้กับปัญหาและเอาความสำเร็จมาเป็นรางวัลให้กับชีวิตกัน สู้สู้
บทความจาก www.healingoftarot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น