วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

นิยามแห่งความสุข

นิยามแห่งความสุข

       จะเริ่มต้นอธิบายอย่างไรให้เข้าใจว่า มีช่องทางที่สามารถนำความสุขให้ชีวิตได้นับสิบนับร้อย มันขึ้นอยู่กับการตีความของแต่ละคน นอกเหนือจากความสุขที่มนุษย์ทุกคนต่างยอมรับด้วยการเห็นพ้องและสัมผัสได้ทั่วกัน
       ความสุขคือ  การเข้าใจ เข้าใจว่าชีวิตอยู่ในกำหนดของผู้ลิขิตไม่ว่าจะยามดีหรือร้าย เมื่อเข้าใจก็ย่อมไม่วุ่นวาย เพียงใจยอมรับและปล่อยให้ทุกสิ่งดำเนินไปตามเส้นทางของมัน เหมือนสายน้ำที่ไหลเรื่อยๆ ไปตามกระแส บางช่วงก็นุ่มนวล ครั้นเมื่อปะทะหินก็ดังสาดซ่า
การเข้าใจกฎเกณฑ์ไม่ได้เป็นการละเลย แต่เป็นการทำให้ดีที่สุดโดยไม่ยึดติดว่ามันต้องเป็นอย่างที่คิดเสมอ
   ความสุขคือ  การมอบตนให้กับเจ้าของเพียงผู้เดียว เที่ยวคอยแสวงหาความโปรดปรานและความไว้วางใจจากเขาผู้นั้น คราใดที่เผลอทำผิดก็รีบรุดกลับไปวอนขอโทษ ผูกพันเสียยิ่งกว่าเป็นคนรัก หัวใจที่มอบตนรู้ดีว่าความรู้สึกนี้เป็นอย่างไร บางครั้งก็ละอายคละเคล้ากับความรู้สึกกลัวและขยาด เป็นอยู่ครู่เดียวพอนึกได้ว่าความรักของผู้ที่ยิ่งใหญ่แม้ฟ้าอันไพศาลก็มิอาจจุไว้ หัวใจที่ห่อเหี่ยวก็กลับสดชื่นขึ้นโดยพลัน
  
  มนุษย์มิอาจหนีพ้นจากการต้องทำผิด แต่มนุษย์ก็มีสุขเมื่อชนะตนเพราะยับยั้งไม่ให้เกิดความผิดได้ หรือเมื่อรู้ว่าความผิดของตนจะได้รับการอภัย
   ความสุขคือ  การเป็นมิตร มองในแง่ดีกับทุกสิ่งรอบข้าง วัตถุที่ไม่มีชีวิตแม้จะไม่รับรู้ความเจ็บปวด แต่ความสุขจะเกิดขึ้นได้อย่างไรถ้าเราไม่รู้จักรักและถนอมสิ่งที่เราครอบครอง เป็นเพียงแต่ใช้ ปล่อยให้มันแตกหัก หกล้มระเนระนาด ไม่รู้จักจัดให้เป็นระเบียบ พฤติกรรมเช่นนี้บอกว่าเราขาดความละเอียดอ่อน ไร้ความนุ่มนวล ไม่มีนิสัยของการเห็นใจ ทั้งๆ ที่ลักษณะเล็กๆ ที่เรามองข้ามมีคุณค่าที่สร้างความสุขได้
เป็นมิตรกับคน คือการทำตนให้ผู้อื่นรัก ไม่ใช่เห็นแก่ตัว ไม่ใช่เป็นแต่รับและไม่รู้จักยื่น


   
      ความสุขคือ  ความโล่งใจ คือหัวใจที่ไม่ต้องคิดแค้นคนอื่น คือชีวิตที่มีคุณค่าด้วยความรักและการให้ โดยไม่ต้องหวังอะไรที่เป็นผลทางวัตถุ เป็นคนที่ไม่ต้องแข่งขัน หากแต่ปล่อยให้เป็นอิสระตามสภาวการณ์ รู้จักตน รู้จักคนอื่น ไม่สูงแต่ไม่เป็นเหยื่อใคร
  อะไรคือ  ความสุขที่เราต่างใฝ่หา ถ้าชีวิตบนโลกนั้นแสนสั้นมีใครคิดจะเตรียมการสำหรับความสุขอันยาวนานไม่สิ้นสุดบ้าง?


แท้จริงบรรดาผู้ยำเกรงนั้นจะได้อยู่สวนสวรรค์และความสุขสำราญ ได้รับความสุขอันล้นพ้นด้วยสิ่งที่องค์อภิบาลประทานให้ พระองค์ทรงคุ้มครองพวกเขาให้พ้นจากเปลวไฟอันร้อนแรง ‘จงกินและจงดื่มด้วยความสำราญเถิด ตามที่พวกเจ้าได้ทำดีไว้ พวกเขาได้นอนอย่างเอกเขนกบนเตียงที่เรียงเป็นแถว และเรายังให้มีคู่ครองแก่พวกเขาเป็นสาวดวงตาสวย (ความหมายจากสูเราะฮฺ อัฏ-ฏูรฺ อายะฮฺที่ 17-20)
และเราจะเพิ่มพูนแก่พวกเขา ให้มีผลไม้และเนื้อตามที่พวกเขาปรารถนา พวกเขาจะแลกเปลี่ยนถ้วยแก้วกันในสวรรค์ ไม่มีพูดไร้สาระ ไม่มีการทำบาป รอบๆ ตัวพวกเขามีเด็กรับใช้ที่คอยวนเวียน ซึ่งงดงามบริสุทธิ์เสมือนหนึ่งไข่มุกที่ถูกห่อหุ้ม (ความหมายจากสูเราะฮฺ อัฏ-ฏูรฺ อายะฮฺที่ 22-24)

ความสุขคือการรู้ รู้ตัวตนที่แท้จริงของชีวิตโลก รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้ได้รางวัลเป็นความสุขในโลกนิรันดร์
มอบความสุขให้กับตัวเอง ด้วยการเรียนรู้วิถีที่แท้จริงของชีวิต


บทความจาก  http://www.e-daiyah.com/ar/node/360

ความสุขคืออะไร.?

อะไร..?

ความสุขคือ…การได้ทำในสิ่งที่ต้องการ: มีอิสระที่จะเลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง เลือกทำสิ่งต่างๆได้ตามที่ตัวเองต้องการไม่ต้องฝืนใจทำสิ่งที่ไม่ต้องการ

ความสุขคือ…การมีความสัมพันธ์ที่ดี: สามารถแบ่งปันความรู้สึกกับคนที่ใกล้ชิดได้ กล้าที่จะรักและไว้ใจผู้อื่น มีคนที่รักอย่างจริงใจ ได้รับการยอมรับจากคนใกล้ชิด


ความสุขคือ…การมีจิตใจที่สงบ: มีจิตใจที่มั่นคงไม่หวั่นไหวความเปลี่ยนแปลงง่ายๆ สามารถรับมือกับทุกสิ่งได้เป็นอย่างดี


ความสุขคือ…การพัฒนาตน: มีเป้าหมายในชีวิต มีความหวังในการดำรงชีวิต รู้สึกว่าประสบการณ์ชีวิตในแต่ละวันมีคุณค่า เรียนรู้จากชีวิตที่ผ่านมา

ความสุขคือ…การคิดเชิงบวก: ไม่ว่าจะล้มเหลวบ่อยแค่ไหนก็ไม่คิดจะยอมแพ้ มองหาสิ่งดีๆที่อยู่ในสถานการณ์ต่างๆ ไม่ยอมแพ้กับอุปสรรค


ความสุขคือ…การมีสุขภาพกายและจิตที่ดี: รู้สึกภูมิใจในสิ่งที่เป็น ร่าเริงแจ่มใส ไม่เจ็บป่วยบ่อยๆ


ความสุขคือ…การกระตือลือล้นทำสิ่งต่างๆ: สนุกสนานกับชีวิต มีแรงจูงใจ ควบคุมตัวเองให้ทำในสิ่งที่ต้องการได้ ได้รับผิดชอบต่อตัวเอง ควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้


ความสุขคือ…การรับรู้ถึงความสำเร็จ: ได้ในสิ่งที่ต้องการ ประสบความสำเร็จตามที่ได้ตั้งใจไว้ อิ่มเอมเมื่อได้ช่วยเหลือคนอื่น

ความสุขคือ…การรู้สึกพอใจในสิ่งที่มี: รู้สึกพอใจในสิ่งที่เป็น พอใจในสิ่งที่มีอยู่ ไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร

ความสุขคือ…การกระทำของตน: มีความภูมิใจในสิ่งที่ทำ รู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าในสังคม เห็นคุณค่าของตนรู้สึกว่าตัวเองมีค่า

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ หลังจากได้อ่านองค์ประกอบต่างๆของความสุขแล้ว  คิดเห็นอย่างไรบ้างแลกเปลี่ยนกันได้นะครับ
กล่าวโดยสรุปแล้ว “ความสุขคือ สภาวะที่บุคคลรับรู้ว่าตนเองได้ทำในสิ่งที่ตนต้องการและทำได้สำเร็จ มีความเป็นตัวของตัวเอง มีความภาคภูมิใจในการกระทำของตน มีความคิดเชิงบวก มีความกระตือรือร้นล้นในการดำเนินชีวิตที่จะนำไปสู่การมีสุขภาพที่ดี การพัฒนาตนการมีสัมพันธภาพที่ดีกับคนรอบข้างและสังคม สามารถดำเนินชีวิตอย่างพอเพียงและมีใจที่สงบ”


บทความจาก  http://www.chulawellness.com/index.php?  ,http://community.momypedia.com/community/blog/my_blog_detail.aspx?bgrid=69594&blgid=16798

อะไรคือความสุขกันนะ

                                 ความสุขคืออะไร



จอร์จ  โอซาว่า  บิดาแห่งแมคโครไบโอติกส์ มีแนวคิดว่ามนุษย์เกิดมาแล้วต้องมีความสุข โดยเขียนไว้ว่า  “หากใครไม่มีความสุข ไม่สมควรกิน เพราะมันเป็นความผิดของเขาเอง” ทั้งความสุขและการกินนั้นสามารถหาได้ในชีวิตประจำวันที่เป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล โดยการศึกษาจากปรัชญาของ หยิน-หยาง ในคัมภีร์อี้จิงของจีนเมื่อ 5,000 ปีที่แล้ว และหลักการของหยิน-หยางนี่เองจะเป็นเข็มทิศนำทางของเรา ทำให้เรามองเห็นทิศทางชีวิตของเราเอง ช่วยให้เราหาจุดยืนของเราในจักรวาลอันไม่มีที่สิ้นสุด และนำเราไปสู่สุขภาพและความสุข ช่วยให้เราสามารถทำความเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ในชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่เรากินเข้าไป จะส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจของเราอย่างไร

ความสุขคืออะไร ? 
นักปราชญ์จีนเมื่อหลายพันปีมาแล้วได้ร่วมกันให้คำนิยามความสุขไว้ดังนี้
1) การมีชีวิตอยู่อย่างมีประโยชน์ สนุกสนาน อายุยืนยาว เบิกบาน โดยไม่รู้จักวัยชรา
2) ไร้ความวิตกกังวลเรื่องเงินทอง
3) มีความสงบเงียบในจิตใจ ไม่โกรธหรืออารมณ์เสียด้วยเรื่องอุบัติเหตุ หรือโศกนาฏกรรม หรือความยากลำบาก การขาดความสงบอาจเป็นเหตุให้ตายก่อนกำหนด
4) มีความกตัญญูกตเวที มีระเบียบวินัย เป็นนักจัดการที่ดี เป็นคนโอบอ้อมอารี ชอบให้
5) ไม่เป็นที่หนึ่ง เพราะต่อไปจะกลายเป็นคนสุดท้าย เป็นคนสุดท้ายซึ่งจะกลายเป็นที่หนึ่งในบั้นปลายและตลอดไป มีความเจียมตัว อ่อนน้อมถ่อมตน และเดินสายกลาง


องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้สอนเรื่องความทุกข์ 8 ประการ คือ


1) ความทุกข์ทางสังขาร ได้แก่
1.1 การมีชีวิตอยู่เป็นทุกข์
1.2 ความเจ็บป่วยเป็นทุกข์
1.3 ความชราเป็นทุกข์
1.4 ความตายเป็นความเจ็บปวดและเป็นทุกข์


2) ความทุกข์ทางจิตใจ ได้แก่
2.1 การพลัดพรากจากคนที่รักเป็นทุกข์
2.2 ความเกลี่ยดเป็นทุกข์
2.3 ความอยากได้ในสิ่งที่ยั่วยวนทั้งหลายในโลกนี้เป็นทุกข์
2.4 การไม่ได้รับในสิ่งที่ตนต้องการเป็นทุกข์


     เพื่อขจัดความทุกข์ 8 ประการของมนุษย์ให้หมดไป พระพุทธเจ้าได้สอนแนวทางในการดับทุกข์ คือ อริยมรรคแปดประการ เพื่อให้บรรลุถึงบรมสุขคือ “นิพพาน”
นิยามความสุขของ จอร์จ  โอซาว่า คือ ทำอะไรก็ได้ที่เราต้องการทำ และสนุกสนานกับมันทั้งวันทั้งคืน จนกระทั่งถึงที่สุดแห่งชีวิต ทำอย่างที่ฝันได้ทั้งหมด และเป็นที่รักของทุกคนระหว่างมีชีวิตอยู่ และแม้หลังจากตายไปแล้ว ชีวิตเช่นนี้คือ ความสุข วิถีชีวิตแบบแมคโครไบโอติกส์ เป็นวิถีชีวิตที่จะให้ความสุขเช่นนี้ได้
…ทั้งหมดนี้คือข้อเขียนเชิงวิชาการ เรื่องอาหารแมคโครไบโอติกส์ ธรรมชาติบำบัด-สุขภาพ ด้วยการแพทย์แบบผสมผสาน ของกองการแพทย์ทางเลือก กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ที่ก้อยเลือกมาให้ทุกคนได้อ่าน เพราะก้อยมองว่าความสุข คือสุดยอดความปรารถนาของทุกคน มีหนทางอะไรที่จะช่วยดับทุกข์ หรือช่วยให้เรามีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขเราก็ควรจะเข้ามาศึกษา มาเรียนรู้ ว่า “ใช่” สำหรับเรารึป่าว


บทความจาก http://paaying.wordpress.com

แหม..อย่าร้ายนักสิ

ระวังหน่อยนะครับ ....

มันเป็นอะไรที่....555+

รอยยิ้มรอยเล็ก

เรื่องเด็กๆ

ความสุขของเด็กหญิงตัวน้อย








ความสุขของกะทิ เป็นหนังสือนิยาย ที่เพิ่งได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์)ประจำปี พ.ศ. 2549 ประพันธ์โดยงามพรรณ เวชชาชีวะ นักเขียนนักแปลผู้มากความสามารถ ซึ่งนิยายเรื่อง ความสุขของกะทิ ถูกหลายคนมองว่าเป็นนิยายสำหรับเด็ก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความสุขของกะทิ เป็นนิยายสำหรับทุกคน เพียงแต่มีตัวละครเอกเป็นเด็กเท่านั้น คณะกรรมการตัดสินได้ให้คำสรุปถึงนิยายเรื่องนี้เมื่อครั้งประกาศผลรางวัลว่า


...เป็นงานศิลปะที่สร้างสรรค์องค์ประกอบหมดจดงดงาม สื่อแนวคิดซึ่งเป็นที่เข้าใจได้สำหรับคนอ่านหลากหลาย ไม่ว่าอยู่ในวัยและวัฒนธรรมใด เสน่ห์ของหนังสืออยู่ที่กลวิธีการเล่าเรื่องที่ค่อย ๆ เผยให้ตัวปัญหาทีละน้อย ๆ ผ่านมุมมองของตัวละครเอกด้วยภาษาที่รื่นรมย์ แฝงอารมณ์ขัน สอดแทรกความเข้าใจชีวิตที่ตัวละครได้เรียนรู้ไปตามประสบการณ์ ความสะเทือนอารมณ์ค่อย ๆ พัฒนาและดิ่งลึกในห้วงนึกคิดของผู้อ่าน นำพาให้อิ่มเอมกับรสแห่งความโศกอักเกษม ได้สัมผัสกับประสบการณ์ชีวิตเล็ก ๆ ในโลกเล็ก ๆ ของเพื่อนมนุษย์คนหนึ่ง ที่สำคัญคือ ความสุขของกะทิ น่าจะช่วยผ่อนคลายสังคมที่เต็มไปด้วยความเครียดอย่างทุกวันนี้ได้ไม่น้อยทีเดียว...


อย่างไรก็ดี เด็กหญิงกะทิก็ถือว่าเป็นตัวละครที่มีอะไรให้มองในหลายมุม และมีอะไรให้น่าค้นหาอยู่มากมาย สำหรับผมแล้ว ผมมองว่ากะทิเป็นเด็กที่เกือบจะเป็น เด็กชายขอบ
คำว่า คนชายขอบ หากจะพูดกันตามตรงก็หมายถึงกลุ่มชนกลุ่มหนึ่งที่ถูกคนอื่นมองว่าเป็นกลุ่มคน ชายขอบ ซึ่งก็หมายถึงกลุ่มคนที่ไม่ได้อยู่ในสังคมกระแสหลักอันได้แก่คนส่วนใหญ่ในสังคมนั่นเอง

กะทิ เป็นตัวละครเด็กที่งามพรรณ เวชชาชีวะ ได้จินตนาการขึ้นและวางไว้ให้เป็นเด็กหญิงอายุประมาณเก้าขวบที่อาศัยอยู่กับตายายที่บ้านริมคลอง เพราะพ่อกับแม่จากกะทิไปตั้งแต่กะทิยังเด็ก แต่กะทิก็มีความสุขได้ด้วยการใช้ชีวิตแบบที่ไม่ฟุ้งเฟ้อ

แล้วเด็กหญิงกะทิผู้มีความสุขแบบพอเพียงอยู่ในบ้านริมคลองแถบชนบท จะกลายเป็นเด็กชายขอบไปได้อย่างไร ในเมื่อเธอก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ใส ๆ ที่ไม่มีพิษมีภัยกับใคร และเด็กต่างจังหวัดก็ไม่ใช่คนส่วนน้อยเสียด้วย แล้วสิ่งใดเล่าที่เป็นตัวการสำคัญในการทำให้กะทิเป็นเด็กชายขอบ

อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า คนชายขอบ คือกลุ่มคนที่ไม่อยู่ในกระแสหลัก หรือ เป็นคนส่วนน้อยในสังคม เด็กหญิงกะทิจึงอาจจะถูกมองว่าเป็นเด็กชายขอบเพราะว่าเธอเป็นเด็กที่ไม่มีพ่อ หรือเรียกว่า กำพร้าพ่อก็คงจะไม่ผิดนัก แต่กะทิยังเปรียบเสมือนว่ากำพร้าแม่ด้วย ทั้ง ๆ ที่แม่ก็ยังรักและห่วงกะทิอยู่เสมอ ทว่าด้วยความจำเป็นบางอย่างจึงทำให้แม่ต้องทิ้งลูกสาวตัวน้อยไว้กับตายายให้เป็นเด็กชายขอบที่ไม่ได้อยู่กับพ่อกับแม่ ซึ่งผิดกับปกติวิสัยของเด็กทั่วไปที่จะมีความสุขก็ต่อเมื่อได้อยู่ในครอบครัวที่อบอุ่น พร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งพ่อ แม่ ลูก แต่เด็กหญิงกะทิคนนี้ ก็มีความสุขได้แม้ว่าจะไม่ได้อยู่กับพ่อและแม่ก็ตาม

กะทิเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความสุขอยู่กับการใช้ชีวิตในแบบที่เป็น กล่าวคือ ด้วยความที่กะทิยังเป็นเด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูอยู่ในชนบท อยู่กับตายายที่บ้านริมคลอง อยู่กับธรรมชาติ ใช้ชีวิตในแบบที่เรียบง่าย สมถะ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้นได้หล่อหลอมให้กะทิอยู่ในสภาพสังคมเช่นนั้นได้โดยปราศจากความต้องการโหยหาและไม่ได้หลงใหลได้ปลื้มกับสิ่งที่เด็กในเมืองทั้งหลายต้องการ หรือที่เรียกกันว่า วัตถุนิยม

กะทิใช้ชีวิตที่เรียบง่าย รับประทานอาหารที่อร่อยได้โดยไม่ต้องใช้วัตถุดิบราคาแพงอย่างอาหารในภัตตาคาร เล่นของเล่นที่หาได้ง่ายตามละแวกนั้น โดยไม่จำเป็นต้องไขว่คว้าหาของเล่นสีสันสวยงามหรือตุ๊กตาแพง ๆ อย่างของเล่นที่วางขายเรียงรายบนห้างสรรพสินค้าชื่อดังใจกลางกรุง จะเห็นได้ว่ากะทิพึงใจที่จะใช้ชีวิตอยู่อย่างนั้นตามอัตภาพของตน ซึ่งสามารถทำให้กะทิมีความสุขได้ ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะว่ากะทิไม่ได้อยู่ในสังคมเมือง ที่ต่างฝ่ายต่างอยากได้ใคร่มี พ่อแม่ก็พยายามยัดเยียดความอยากได้ใคร่มีนั้นให้กับลูกของตน ด้วยเกรงว่าลูกอาจจะน้อยหน้าเพื่อน ๆ ที่โรงเรียน อย่างไรก็ดี การที่พ่อแม่พยายามยัดเยียดสิ่งเหล่านั้นให้ลูก ก็ถือว่าเป็นการมอบความสุขให้แก่ลูกของตน โดยที่เด็กอาจจะไม่ได้เรียกร้อง แต่ก็ทำเด็ก ติด ค่านิยมความฟุ้งเฟ้อได้ จนเข้าใจไปว่านั่นคือความสุขของเด็กโดยทั่วไป แต่หากลองมองให้ถึงแก่นแท้แล้วจะเห็นได้ว่า สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นเป็นความสุขจอมปลอมที่เป็นเพียงความสุขชั่วครั้งชั่วคราว

เด็กกำพร้า ถือได้ว่าเป็นคนส่วนน้อยในสังคมที่ไม่ใช่คนในสังคมกระแสหลัก จึงถูกมองว่าเป็นเด็กชายขอบ เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วเด็กที่กำพร้าพ่อหรือแม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่กำพร้าทั้งพ่อทั้งแม่ แล้วต้องอาศัยอยู่กับตายาย หรืออาศัยอยู่ในสถานสงเคราะห์ ซึ่งผู้ที่เป็นผู้ปกครองอาจจะไม่สามารถให้ความรักและความอบอุ่นแก่เด็กกำพร้าเหล่านั้นได้ดีเท่ากับที่เด็กเหล่านั้นควรจะได้รับจากผู้ที่เป็นพ่อแม่ที่แท้จริง ทว่าเด็กหญิงกะทิกลับเป็นเด็กกำพร้าที่แวดล้อมด้วยความรักเต็มเปี่ยม และมีผู้คนที่มีจิตใจดีอยู่รอบกาย ทำให้กะทิดำเนินชีวิตไปอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เป็นสุขกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าชีวิตของกะทิเป็นชีวิตของเด็กที่เต็มไปด้วยความสุข แม้ว่าในความสุขของกะทินั้นจะมีความทุกข์อันหนักหนาสาหัสผ่านเข้ามาบ้าง แต่นั่นก็เป็นความทุกข์ที่ยังแฝงความงดงามอันเป็นความงามในใจของทั้งกะทิและของแม่เอาไว้ กะทิจึงเป็นเด็กที่มีชีวิตที่เพียบพร้อมบริบูรณ์ด้วยความรักความเข้าใจ และความห่วงหาอาทรที่ที่เด็กกำพร้าคนอื่นอาจจะหาไม่ได้จากสังคมรอบข้าง ซึ่งความรักความหวังดีจากคนรอบข้างเหล่านี้นี่เองที่คอยโอบอุ้มกะทิให้สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างมีความสุข อันเป็นความสุขในแบบของกะทิ ซึ่งเป็นความสุขที่เรียบง่ายและหลายต่อหลายคนในยุคโลกาภิวัตน์ไม่เคยได้สัมผัส กะทิจึงเป็นเด็กหญิงที่กำพร้าพ่อแม่ แต่ไม่กำพร้าความรักจากคนรอบข้าง

ดังจะเห็นได้จากกลวิธีที่ผู้เขียนใช้เพื่อแฝงประเด็นเกี่ยวกับความสุขของกะทิที่ว่า มีความสุขทุก ๆ วันของชีวิต กลวิธีดังกล่าวก็คือ ตอนจบของเรื่องที่สัมพันธ์กับตอนต้นของเรื่อง กล่าวคือ เมื่ออ่านย่อหน้าสุดท้ายของเรื่อง แล้วกลับมาอ่านย่อหน้าแรกของเรื่องอีกครั้ง ก็สามารถอ่านต่อไปได้โดยผสานกันอย่างกลมกลืน เป็นสัญลักษณ์ให้เห็นว่า แม้ว่าคนเจะทำอะไรซ้ำ ๆ อย่างเดิม แต่ก็สามารถจะมีความสุขได้ทุกวัน ดังเช่นความสุขอันแสนเรียบง่ายของเด็กผู้หญิงที่ชื่อว่ากะทินั่นเอง

สำหรับกะทิแล้ว กะทิสามารถมีความสุขได้อย่างเต็มที่ตามแต่หัวใจดวงน้อย ๆ อันบริสุทธิ์จะไขว่คว้าหามาได้ ความสุขนั้นก็ได้มาจากการใช้ชีวิตอย่างพอเพียงในสภาพสังคมที่มีทรัพยากรเพียงพอและพอดีกับความต้องการของผู้คนในท้องถิ่น แต่ไม่ใช่ความสุขแบบที่เรียกว่า มีความสุขไปวัน ๆ หากแต่เป็นความสุขที่มีได้ทุก ๆ วัน แม้ว่าอะไรหลาย ๆ อย่างจะเป็นไปในแนวเดิมทุก ๆ วัน แต่กะทิก็ทำให้ทุก ๆ วันนั้น เป็นไปอย่างมีความสุข และเป็นความสุขที่ไม่รู้จบ เตามคำอธิษฐานของแม่เมื่อคลอดกะทิที่ว่า ขอให้ลูกของแม่มีความสุขในใจเสมอ ไม่ว่าจะมีความทุกข์เพียงใด

ด้วยความที่กะทิยังเป็นเด็กที่ผู้ใหญ่มองว่าไร้เดียงสา หลาย ๆครั้ง กะทิจึงไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง เช่น ไม่เข้าใจว่าทำไมคนสองคนจึงตัดสินใจที่จะอยู่ด้วยกัน หรือตัดสินใจที่จะแยกจากกัน แต่ในตอนท้าย กะทิก็เลือกที่จะไม่ส่งจดหมายไปหาพ่อ ทั้งนี้ก็อาจจะเป็นเพราะว่ากะทิอาจจะคิดอยู่ว่าเธออยู่กับตากับยายก็มีความสุขดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีพ่อมาอยู่ด้วย กล่าวคือ พ่อไม่ใช่ สิ่งจำเป็น สำหรับกะทิเลย เพราะตลอดชีวิต ความสุขของกะทิไม่ได้มีพ่อมาเป็นส่วนหนึ่งด้วย กะทิจึงเลือกที่จะอยู่กับตายายที่บ้านริมคลองแทนที่จะส่งจดหมายไปหาพ่อ หรือย้ายไปอาศัยอยู่ที่คอนโดหรูที่แม่เตรียมไว้ให้กะทิ ส่วนแม่นั้น แม้ว่ากะทิจะไม่ได้อยู่กับแม่มาเป็นเวลานาน แต่แม่ก็เคยอยู่กับกะทิ เคยมีความสุขอยู่กับกะทิ แม้ว่าแม่จะทำให้กะทิเจ็บตัวบ้าง จนเป็นชนวนสำคัญให้แม่ต้องจากกะทิไป อย่างไรก็ดี เด็กอย่างกะทิก็น่าจะพอรับรู้และระลึกได้ถึงสัมผัสอันอบอุ่นที่เคยได้รับจากแม่บ้าง กะทิจึงเฝ้ารออย่างมีความหวังว่าสักวันแม่จะต้องกลับมาหากะทิ ถึงแม้ว่าแม่จะไม่เคยบอกและกะทิก็อาจจะไม่มีวันรู้เลยก็ตามว่าเมื่อไหร่แม่จะกลับมา กะทิจะได้พบกับแม่อีกหรือไม่ และแม้ว่ากะทิจะจำหน้าแม่ไม่ได้ก็ตาม สังเกตได้จากคำโปรยที่ส่วนหัวของเรื่องซึ่งเป็นความคิดของกะทิที่มีต่อแม่ จะเห็นว่ากะทินั้นยังเฝ้ารอและโหยหา แม่ อยู่ตลอดเวลา

จากการที่กะทิเป็นเด็กกำพร้าพ่อแม่ ทำให้กะทิเป็นเด็กชายขอบ แต่ความรักความเข้าใจที่คนรอบข้างหยิบยื่นให้กะทิก็ได้ลบล้างความเป็นชายของของกะทิไปจนหมดสิ้น เด็กหญิงกะทิ จึงกลายเป็นเด็กหญิงผู้เกือบจะเป็นเด็กชายขอบ


บทความจาก http://amarinwriter.exteen.com/20061222/entry

คำถามที่ทุกคนอยากจะถาม.?

ความสุขของชีวิตคนเรามันอยู่ตรงไหน.?  ความสุขในชีวิตของคนเราคืออะไร.?


และคำตอบส่วนใหญ่ที่มักพบและบอกต่อกัน
  _มีร่างกายที่แข็งแรง มีสติปัญญาหากิน มีข้าวกิน มีเงินใช้ มีบ้านให้อยู่ มีคนให้รักให้ห่วง สำหรับดิฉันแค่นี้สุขแล้ว
      _ถ้าเราเข้าใจโลกอย่างที่มันเป็น ไม่ใช่อย่างที่เราอยากให้มันเป็น  เราก็จะพอใจได้กับทุกสิ่ง แม้กระทั่งความผิดหวังของเราเอง  ยอมรับ และพอใจ  
      _ ความสุขของชีวิตคนเรามันอยู่ตรงที่ เข้าใจชีวิตที่แท้จริงก่อน(ก็ต้องผ่านประสบการณ์ชีวิตพอสมควรกว่าจะเข้าใจได้ต้องใช้เวลา) เมื่อคุณเข้าใจคุณก็จะรู้ว่าความสุขในชีวิตคุณอยู่ตรงไหนและคุณต้องการอะไรที่สุขที่สุดของคุณพอแล้ว เพราะความเพียงพอในสุขเราไม่เท่ากันแต่จุดหมายอยู่ที่สุขเหมือนกัน และสุดท้ายไม่มีอะไรสุขเท่าการแสวงหาสุขทาง"ธรรม" 
     _ ความสุขของเรา คือ การมีใครสักคนที่เป็นคนรู้ใจ คนรู้ใจหาได้ที่ไหน? คำตอบง่ายมาก คนนี้อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ก็คือตัวเราเองนั่นเเหละ สำรวจใจของเราเองทุกวันพิจารณาความต้องการของตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่เราต้องการที่สุด ความสุขของแต่ละคนแตกต่างกันจะนำมาเปรียบเทียบกันไม่ได้ บางคนได้กินอาหารที่ชอบอร่อยถูกปาก บางคนได้อ่านหนังสือดีสักเล่ม บางคนขอให้มีงานทำไปวันๆ หรือบางคนขอให้ได้ดื่มเหล้าทุกวัน บางคนขอให้ได้ยินเสียงคนที่รักผ่านโทรศัพท์วันละสามเวลาก่อนหรือหลังอาหาร แค่นี้ก็มีความสุขได้แล้ว บอกไม่ได้ว่าที่แท้จริงความสุขในชีวิตของแต่ละคนคืออะไร แต่บอกได้ว่าคนเรามีความสุขได้ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นความสุขเล็กๆ หรือ ความสุขที่ยิ่งใหญ่ อยู่ที่มุมมองของตัวเราเอง อยู่ที่คนรู้ใจ จะเรียนรู้ใจตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน หรือ ถ้าไม่รู้ใจตัวเองก็ลองค้นหาใครบางคนที่เราจะพูดคุยด้วยได้อย่างมีความสุขดูสิ เหมือนในโฆษณาไง
Looking for someone to have fun with? : ) 

   _ สิ่งที่นำมาเพื่อความสุขคือ
-ความร่ำรวยเงินทอง
-ความสำเร็จในหน้าที่การงาน
-ความสุขใจจากการให้และการได้รับความรักจากคนที่เรารัก
-เป็นที่ยอมรับของสังคมมีเกียรติยศและชื่อเสียง

แต่สิ่งต่างๆเหล่านี้ต้องเป็นความสุขที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสงบไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น อิจฉาริษยาและว้าวุ่นหัวใจ

ความสุขที่สุดคือวิมุตติสุขคือการพบสุขที่เกิดเพราะความหลุดพ้น จากกิเลส(นิพพาน) 

     _ ความสุขคือความพึงพอใจในสิ่งที่คนเราคาดหวังและได้สมหวังแต่การได้มา บางอย่างอาจไม่ทำให้เกิดความสุขระยะยาวอาจมีความทุกข์ด้วยซ้ำไป  คนไม่ร่ำรวยเงินทองก็สุขได้คนที่ไม่สำเร็จในหน้าที่การงาน(หัวโขน)ก็สุขได้  หากได้ทำงานที่ตนรักสิ่งที่คิดคือความสุขจากการให้ครับให้โดยไม่หวังผลจากผู้อื่น  แต่ได้ความสุขใจที่ได้ให้แต่พระท่านว่าการให้ก็อย่าให้เราเดือดร้อนและต้องให้สิ่งที่ผู้รับต้องการและเต็มใจรับนั่นแหละครับส่วนการมีรักจะสุขเมื่อได้รัก  และทุกข์เมื่อถูกตัดรักครับเอ.ผมตอบคุณณัฐฐาหรือยังนี่ 

แต่สิ่งที่ทำให้เกิดความสุขได้  มันก็ง่ายแค่นิดเดียว  

               

               ความมสุขสร้างง่ายนิดเดียว

        เรื่องของคำชม ผมไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องเล็ก การชมใครก็แล้วแต่ ถ้ามันออกมาจากใจจริงของเรา เราไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าเราสามารถใช้คำชมเปลี่ยนคนอีกคนได้มากน้อยขนาดไหน ผมเคยได้ยินเรื่องราวของคู่สามีภรรยาที่มีปากเสียงกันทุกวันจนชาชิน จนกระทั่งฝ่ายสามีเริ่มฉุกใจคิดได้ว่าควรยุติพฤติกรรมแย่ๆ อย่างการทะเลาะกันซะที เพราะนอกจากมันจะไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรแล้ว ยังทำให้ความทุกข์ในการใช้ชีวิตเพิ่มขึ้นอีกด้วย แต่เราจะเริ่มต้นชมยังไงหละ ในเมื่อภรรยาของเขาไม่มีดีจะให้ชมเลยจริงๆ ทำอะไรก็ขัดใจไปเสียหมด ถ้าไม่รู้จ้ะริ่มชมจากสิ่งไหน เราก็เริ่มชมจากเรื่องที่เป็นความดีปรกติพื้นฐานของเขาก่อนสิ เช่น ชมว่าเขาพูดจาไพเราะ (ตอนที่เขาพูดไพเราะ) ชมว่าเขาหัวเราะน่ารัก ชมว่าเซ็กซี่ อะไรก็แล้วแต่ที่อยากจะชม จนกระทั่งฝ่ายภรรยาเริ่มมีความรู้สึกดีๆ และการทะเลาะกันก็น้อยกันลงไปที่สุด

ในขณะเดียวกัน การด่าก็ถือเป็นปรกติวิสัยของมนุษย์ แต่เราเริ่มต้นสิ่งดีๆ ด้วยคำด่าไม่ได้ เช่นเดียวกัน เราก็ไม่สามารถใช้คำด่าเปลี่ยนแปลงจากร้ายกลายเป็นดีได้ เพราะฉะนั้นคำด่าไม่ว่าจะจริงหรือจะเล่นล้วนมีความคมที่พร้อมจะทิ่มแทงผู้ฟังเหมือนกันหมด ผมเองก็ติดนิสัยพูดแล้วค่อยคิดเหมือนกัน เลยเข้าใจดีว่าความไม่เจตนาบางครั้งในคำพูดมันเป็นสิ่งที่ทำให้เรากับคนอื่นบาดเจ็บได้เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น เมื่อเรารู้แล้วว่าไอ้สิ่งสองสิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง ก็จัดสรรกันเอาเองว่าจะเอาอะไรเป็นคุณสมบัติเด่น

ผมลองสังเกตชีวิตของผมเอง เวลาที่เราพูดชมใครอย่างจริงจัง ชนิดที่ไม่ได้ฟังดูแล้วคล้ายประชดล้อเลียน คู่สนทนามักจะมีความรู้สึกดีๆ เกิดขึ้นภายในใจ แน่นอนมันสะท้อนมาถึงใบหน้าของเขาด้วย เมื่อเราเห็นคู่สนทนาของเรามีความสุข ผู้พูดอย่างเราเองก็มักมีความสุขไปด้วย ในขณะเดียวกัน บางครั้งถ้าเราเผลอพูดอะไรออกไปที่ทำให้คนรอบข้างรู้สึกแย่ ไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม ผู้พูดอย่างเราก็พร้อมที่จะเศร้าสลดหดซึมไปด้วย

เพราะฉะนั้น คำชม ถือว่าเป็นคุณสมบัติที่น่ารักอย่างแน่นอน

แต่ผมเองก็เคยเจออีก คือคนที่ชมคนอื่นมากๆ ชมคนอื่นต่อหน้าคนอื่น และชมทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยซักแค่ไหน มักจะถูกกล่าวหาว่าเป็นคนไม่จริงใจ ไม่น่าคบหา ทั้งๆ ที่การชมใครก็เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล ไม่รู้คิดได้ยังไง ยิ่งถ้าไปชมคนที่คนๆนั้นไม่ชอบขี้หน้าด้วยแล้ว จะกลายเป็นศัตรูไปเลยก็มี งงมาก

และผมเองก็เคยเห็นอีกเหมือนกัน วัยรุ่นที่ทดลองทำขนมและเอามาให้คนในครอบครัวและเพื่อนกิน เขาได้รับคำชมในฐานะที่ทำขนมอร่อยและมีความพยายามคิดค้นสูตรต่างๆเป็นอย่างมาก ปัจจุบันเขาอายุแค่ยี่สิบต้นๆ แต่ก็ได้เป็นเจ้าของกิจการขายขนมฝีมือตัวเองย่อมๆ แล้ว ทั้งหมดนี้เพราะอิทธิฤทธิ์คำชม (บวกกับความพยายาม) ถ้าเขาไม่มีคนชม เขาจะก้าวมาถึงจุดนั้นไหม อันนี้ลองคิดดู

ตรงนี้การันตีได้อย่างหนึ่ง ว่าคำชมมีประโยชน์อย่างมหันต์ เหมือนเป็นยาดี เป็นรางวัลของคนที่เพียรพยายาม

มนุษย์จึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ชอบคำชมและมักหลีกเลี่ยงคำตำหนิ

แต่ในประวัติของผู้ยิ่งใหญ่มากมายที่ชีวิตไม่ได้รับคำชม ซ้ำยังถูกกล่าวหาจากสังคมรอบข้างว่าบ้าด้วยแล้ว เช่น สองพี่น้องตระกูลไรท์ที่พยายามจะบินให้ได้เหมือนนก สตีฟ จ๊อบ ที่ถูกคนที่ตัวเองจ้างงานมากับมือรวมหัวกันไล่เขาออก และคนอื่นๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วนที่ผมนึกชื่อไม่ออก

ผมเองก็ไม่ได้สนใจอะไรจนกระทั่งผมเองก็ได้มาเข้าใจอะไรบางอย่าง ถ้าคำพูดของใครบางคนสามารถเปลี่ยนชีวิตใครบางคนดีขึ้นหรือเลวลงได้จริงคำถามคือชีวิตนี้เราได้ยินเสียงคำพูดจากใครมากที่สุด ดังที่สุด มีอิทธิพลกับเรามากที่สุด คำตอบคือคำพูดจากเราเอง คำพูดจากสมองและหัวใจของเรา

ถ้าชีวิตเราต้องการให้ใครคนอื่นชมเราในแบบที่เราเป็น ทำไมเราไม่เริ่มจากการชมตัวเองก่อน ถ้าลองเข้าไปสำรวจความคิดที่เรามีต่อตัวตัวเองดีๆ เราจะพบว่าคำเหล่านี้มักจะปรากฏขึ้นในใจเราเป็นประจำ “เราทำไม่ได้หรอก เราดีไม่ได้หรอก ทำไมเขาไม่รักเรา เราไม่ดีทุกอย่าง ใครๆ ก็ไม่รักเรา ไม่มีชิ้นดีเลยชีวิตเรา เรามันไม่เก่ง เรามันกระจอก บล่าๆ” สารพัดคำที่เราจะเอามากดตัวเองให้ต่ำลงจมดิน ถ้ายังเป็นอย่างนี้ ต่อให้ใครมาชมเรา เราก็ชื่นใจชั่วประเดี๋ยวเดียว สักพักเสียงที่ดังที่สุดในชีวิตอย่างความคิดเราก็จะทำให้เรากลับไปอยู่มุมอับมืดๆ เหมือนเดิม เราก็ต้องวิ่งหากำลังใจจากคนอื่นเรื่อยๆ มีคนชมก็ดีใจ คนไม่ชมก็เศร้าเสียใจ แล้วจะเอาพลังที่ไหนไปใช้ชีวิตหละครับ

ถ้าคำชมมีผลต่อชีวิตเราจริง มันเป็นเรื่องน่าอายเหรอครับที่จะชมตัวเอง ชมว่าตัวเองสวยหล่อ เก่ง มีความสามารถ มีความตั้งใจ มีความเก่งความชำนาญ คำตอบคือชมได้ และยิ่งชมบ่อยๆ ยิ่งดีด้วย แต่ต้องชมให้ใจคุณเองได้ยิน ไม่ได้ชมให้คนอื่นได้ยิน เพราะถ้าเอาแต่ความดีตัวเองมาพูดให้คนอื่นฟัง คนอื่นอาจจะหมั่นไส้เอาได้ครับ (คุณลองไปฟังคนที่ชมแต่ตัวเองดูสิ จะทนฟังได้กี่นาทีโดยที่ไม่อยากโมโหให้อารมณ์เสีย)

ชีวิตเป็นของเรา ถ้าเราไม่ชอบในสิ่งที่เรามีอยู่เป็นทุน แล้วใครมันจะมาชอบเราครับ เพราะฉะนั้น ชมเลย เราเป็นคนเก่ง เราเป็นคนดี เราเป็นคนมีความสามารถ ต่อให้คนที่สอบได้ที่โหล่ของชั้น เขาก็มีพรสวรรค์ของเขาซ่อนอยู่ มีส่วนดีงามที่สุดในชีวิตซ่อนอยู่เช่นเดียวกัน เราจึงไม่ได้เป็นคนผิดเลย ที่เราจะชอบจะรักตัวเราในแบบที่เราเป็นและพอใจในสิ่งที่เรามี และถ้าคุณสังเกตคนที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ด้วยแล้ว เขามีความมั่นใจในตัวเองและก็ชมตัวเองเพื่อเป็นกำลังให้กับตัวเองเหมือนกันครับ

เชื่อไหมครับ ถ้าคุณชมตัวเองทุกวัน เชื่อมั่นในตัวเองทุกวัน คุณจะควบคุมชีวิตตัวเองได้ คุณจะทุกข์กับคนอื่นน้อยลง ชีวิตคุณจะหวั่นไหวน้อยลง เพราะคุณได้ค้นพบความน่ารักที่ยิ่งใหญ่ที่มันอยู่กับคุณตั้งแต่เกิด เป็นความน่ารักในรูปแบบเฉพาะของคุณเพียงคนเดียว ไม่มีใครเหมือน

ผมขอย้ำอีกครั้งหนึ่ง คนเราจะมีความสุขได้ จะต้องเริ่มต้นจากฐานที่เรียกว่าความคิดให้ดีที่สุด ต่อให้คุณมีความสำเร็จในชีวิตมากแค่ไหน ถ้าความคิดของคุณมันไม่เคยที่จะยอมรับตัวเองเลย คุณก็ต้องวิ่งหนีตัวเองไปเรื่อยๆ ความสุขที่ว่าอยู่ใกล้มันก็อยู่ที่เดิมแต่คุณหนะไม่รู้วิ่งไปไหนแล้ว ความสุขมันหาคุณไม่เจอ

วันนี้ ลองเชื่อในความเป็นตัวของตัวเองดูซักครั้งครับ หลับตาลงเบาๆ สัมผัสหัวใจของตัวคุณเอง นึกถึงความดีและความสามารถของคุณ ค่อยๆ ขอบคุณตัวเอง และชมตัวเองอย่างจริงจังว่าคุณเก่งมาก คุณดีมาก และคุณจะทำให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปอีก ชมอย่างนี้ทุกครั้งที่เรานึกถึง ชมทุกครั้งที่เรานึกออก ชมตลอดเวลาที่เราหายใจ แล้วเรามาดูกันเลยครับ ว่าชีวิตของคุณจะเปลี่ยนแปลงไปท่าไหน อย่างไร

คนที่สามารถชมตัวเองได้จากใจจริงเท่านั้น ที่จะสามารถเป็นคนที่ประสบความสำเร็จและมีความสุขได้ไม่แพ้คนอื่น บนโลกใบนี้ คนที่มีความสุขจากการที่ได้อยู่กับตัวเองมากที่สุด คือคนที่น่าอิจฉาที่สุดครับ เอาหละถ้าคุณชมตัวเองได้อย่างดีแล้ว ลองดูสิว่าหัวใจคุณเบาสบายขึ้นไหม มีความสุขมากขึ้นไหม ถ้าคุณมีความสุขแล้ว ไปเลยครับ กลับเข้าไปสู่ชีวิตของคุณ ไปจัดการปัญหาและอุปสรรคที่มันเคยยากเย็นแสนเข็ญของคุณ กลับไปสู้กับปัญหาและเอาความสำเร็จมาเป็นรางวัลให้กับชีวิตกัน สู้สู้

บทความจาก www.healingoftarot.com

วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

อย่างงี้เขาเรียก กลัวลิง...!!

บอกคุณนักฟุตบอลเช็คตัวเองก่อนลงด้วยน่ะครับ..อิอิ

เอามาให้ดูกันขำๆ

ขำๆ

คลายเคลียด...<>